Categories
health

วิธีลด”น้ำหนัก”ที่เร่งด่วน ปลอดภัย ผอมชัวร์

ในปัจจุบันคนส่วนใหญ่มักจะรับประทานอาหารที่มีแคลอรี่สูงและสารอาหารไม่น้อย ทำให้แต่ละคนมีน้ำหนักที่เกินมาตรฐานไม่สมส่วนกับร่างกาย ยกตัวอย่างเช่น เครื่องดื่มที่มีน้ำตาล คุณจะสังเกตเห็นว่าเวลาที่คุณกินเครื่องดื่มที่มีแคลอรี่สูง คุณจะไม่รู้สึกอิ่มเลย และอยากกินเรื่อย ๆ ดังนั้นการเปลี่ยนมาดื่มน้ำอัดลมหรือชาและกาแฟที่มีน้ำตาลน้อย ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการเริ่ม “ลดน้ำหนัก” แต่ถ้าหากคุณต้องการเร่งการลดน้ำหนักเราขอแนะนำให้คุณคำนึงถึงอาหารที่คุณรับประทานควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ แคลอรี่ต่ำ หรือลองทำตามวิธีลดน้ำหนัก ที่เรานำมาฝากในวันนี้ ซึ่งแต่ละวิธีที่เรานำมาล้วนแล้วแต่ปลอดภัย และผอมเร็วชัวร์ค่ะ!!

ควรคำนวนน้ำหนักกับวัดสัดส่วนก่อนตัดสินใจลดน้ำหนัก

ก่อนอื่นคุณจะเริ่มลดน้ำหนักคุณต้องรู้ตัวก่อนว่าคุณอ้วนแค่ไหน? โดยการชั่งน้ำหนัก และวัดรอบเอว (ระดับสะดือ)โดยค่าจะต้องไม่เกินส่วนสูงของคุณ หารด้วย 2 ถ้าเกินนั้นหมายความว่าคุณอ้วนลงพุงแล้ว หรือจะดูจากเพศอะไร? มีกิจกรรมการทำงานอย่างไร? ต้องใช้พลังงานต่อวันเท่าไหร่? โดยส่วนใหญ่ค่าเฉลี่ยของเพศชายจะใช้พลังงานไม่เกิน 2000 kcal ต่อวัน และเพศหญิงจะใช้พลังงานไม่เกิน 1600 kcal ต่อวัน และผู้ใช้แรงงานส่วนใหญ่จะใช้พลังงานอยู่ที่ประมาณ 2400 kcal ต่อวัน หรือวัดสัดส่วนของร่างกายที่ตำแหน่ง รอบอก รอบเอว รอบสะโพก รอบต้นแขน และ รอบต้นขา จดบันทึก รายละเอียดต่างๆก่อนเริ่มต้นลดน้ำหนัก เพื่อเปรียบเทียบก่อนและหลัง

วิธีลดน้ำหนักเร่งด่วนที่ได้ผลชัวร์ ๆ

วิธีลดน้ำหนักที่เร่งด่วนที่เรานำมาแนะนำวันนี้เป็นวิธีง่ายๆสามารถทำได้ในชีวิตประจำวัน จะมีวิธีไหนบ้างตามเรามาดูกันเลยค่ะ

  1. กินผักให้มากขึ้นตลอดเวลา มันง่ายมาก หากคุณคิดที่จะทำอาหารโดยมีส่วนผสมประเภทผักอย่างน้อย 50% ของอาหารที่คุณกิน แสดงว่าคุณกำลังมาถูกทางแล้ว เพราะวิธีนี้ทำให้ได้สุขภาพที่ดีขึ้น แถมลดน้ำหนักได้อีกด้วย
  2. รับประทานอาหารเช้าที่มีประโยชน์ อาหารทุกมื้อมีความสำคัญ แต่อาหารเช้าคือสิ่งที่ช่วยให้คุณเริ่มต้นวันใหม่ได้ดี อาหารเช้าช่วยขจัดความอยากในมื้อต่อไป โดยตั้งเป้าหมายว่ากินอะไรก็ได้แต่ค่าแคลอรี่ต้องอยู่ที่ระหว่าง 400 ถึง 500 แคลอรี่สำหรับมื้อเช้า ควรรับประทานเมนูอาหารที่มีโปรตีน ไขมัน และไฟเบอร์ให้เพียงพอต่อร่างกาย จะช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดจะช่วยให้คุณผอมลง
  3. รู้ขีดจำกัดการรับประทานเกลือ เนื่องจากเกลือเป็นสารกันบูดอาหารที่ถูกแปรรูป จึงมักมีโซเดียมสูงที่สุดซึ่งเป็นสิ่งที่ควรคำนึงถึงเมื่อวางแผนโปรแกรมอาหารของคุณ หากพูดถึงการซื้อขนมขบเคี้ยวผลิตภัณฑ์ “โซเดียมต่ำ” ควรมีประมาณ 140 มก. หรือน้อยกว่าต่อหนึ่งหน่วยบริโภค
  4. งดเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล การดื่มน้ำผลไม้หรือเครื่องดื่มกาแฟนั้นไม่ได้ผลดีเท่ากับการรับประทานอาหารผักและโปรตีน ดังนั้นหากคุณดื่มน้ำผลไม้ กาแฟ และชาที่มีรสหวาน รวมทั้งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในระหว่างวันคุณจะได้รับแคลอรี่เพิ่มอย่างน้อย 800 แคลอรี่ ในตอนกลางคืนก็จะยังคงหิวอยู่
  5. รับประทานอาหารที่มีรสเผ็ด ช่วยลดแคลอรี่ได้จริงค่ะ เพราะแคปไซซินซึ่งเป็นสารประกอบที่พบในพริกฮาลาปิโนและพริกป่นทั่วไปอาจเพิ่มฮอร์โมนความเครียด เช่น เพิ่มอะดรีนาลีนให้ร่างกาย (เล็กน้อย) ซึ่งสามารถเร่งความสามารถในการเผาผลาญแคลอรี่ได้ดี
Categories
health

5 วิธีผ่อนคลายผิว สำหรับสาวผิวแห้งในช่วงฤดูหนาว

คุณรู้หรือไม่? สภาพอากาศในฤดูหนาวก็สามารถสร้างความเสียหายให้กับผิวของคุณได้ ซึ่งอุณหภูมิที่หนาวจัดและอากาศแห้งทำให้ผิวของคุณขาดความชุ่มชื้นและแห้งกร้าน แต่คุณสามารถปฏิบัติตัวและเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเพิ่มความนุ่มชุ่มชื้นและอ่อนนุ่มให้ทั้งผิวหน้าและผิวกายได้ ซึ่งผิวของคุณควรได้รับการบำรุงตลอด24 ชั่วโมงทุกวันตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ตลอดทั้งฤดูกาล ดังนั้นเราจึงได้รวบรวม 5 วิธีผ่อนคลายผิว มาฝากทุกคน โดยวิธีเหล่านี้เหมาะสำหรับสาวผิวแห้ง ในช่วงฤดูหนาวเป็นอย่างมาก จะมีวิธีไหนบ้างติดตามเรามาดูกันค่ะ

1. การอาบน้ำที่ร้อนจัด (หรือนาน) ทำให้ผิวแห้งเสีย

การอาบน้ำอุ่นหรืออาบน้ำในวันที่อากาศหนาวเย็น และน้ำร้อนยังถือว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจที่ทำให้ผิวแห้งในฤดูหนาว ซึ่งการอาบน้ำร้อนจัดเป็นเวลานานทำให้การระเหยของน้ำในผิวของคุณเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผิวแห้งกร้านเป็นขุย โดยเวลาที่เหมาะในการอาบน้ำอยู่ที่ประมาณ 10 นาที และเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิวให้ลองเปลี่ยนสบู่และเจลสำหรับทำความสะอาดผิวกายที่ช่วยเสริมสร้างและป้องกันความชื้นของผิวหนัง

2. ผิวแห้งแก้ไขได้ด้วยครีมบำรุงผิวหรือบาล์มเพิ่มความชุ่มชื้น

หลายคนคงสงสัยว่า ผิวแห้งใช้อะไรดี? เราขอแนะนำให้ใช้ครีมบำรุงผิวหรือบาล์มที่มีส่วนผสมเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิว โดยหลังอาบน้ำให้คุณใช้ผ้าขนหนูนุ่มๆเช็ดผิวให้แห้ง ตามด้วยการทาครีมบำรุงผิวที่ให้ความชุ่มชื้น โดยเลือกใช้ครีมหรือบาล์มที่เพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิวแห้งของคุณ ทาครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมที่ให้ความชุ่มชื้นไว้บนผิวที่แห้งแตก ให้หนากว่าตอนทาในช่วงฤดูร้อน

ครีมบำรุงผิวเพิ่มความชุ่มชื้น

3. เพื่อไม่ให้ผิวแห้งเกินไปให้ล้างหน้าวันละครั้ง

สำหรับผิวหน้าที่แห้ง ในช่วงฤดูหนาวให้คุณลองเปลี่ยนกิจวัตรประจําวันใหม่จากที่เคยล้างหน้าวัน 2 ต่อวัน ให้เปลี่ยนมาเป็นหน้าหน้าวันละครั้งต่อวันพอ เพื่อไม่ให้ผิวแห้ง ให้เลือกใช้คลีนซิ่งออยล์ที่อ่อนโยน ซึ่งมีโอกาสน้อยที่จะมีสารลดแรงตึงผิวที่รุนแรงที่ทำให้ผิวขาดน้ำ แต่สำหรับผิวแห้งกร้านมาก ให้ลองใช้คลีนซิ่งบาล์มซึ่งเป็นสูตรที่อุดมไปด้วยน้ำที่มีส่วนผสมของบัตเตอร์ (เช่นเชีย) และน้ำมันที่ทำให้ผิวนุ่ม แถมช่วยล้างเครื่องสำอางให้สะอาด

4. รักษาผิวแห้งง่ายๆแค่ดื่มน้ำเปล่า

การให้ความชุ่มชื้นที่เหมาะสมกับร่างกาย เป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยรักษาผิวแห้ง โดยคนเราควรดื่มน้ำเปล่าประมาณวันละ 8 – 10 แก้ว และให้ช่วงฤดูหนาวร่างกายของคุณจะถูกคายน้ำออกมามากกว่าปกติ การดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสมถือเป็นการช่วยเติมเต็มน้ำให้กับผิวที่แห้งแตกตกสะเก็ด เป็นอีกทางหนึ่งที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นแก่ผิว แถมเป็นวิธีที่ไม่ต้องใช้เงินลงทุนมาก

ดื่มน้ำเปล่าเพิ่มความชุ่มชื้น

5. ขัดผิวแห้งไม่เกินสัปดาห์ละครั้ง

สิ่งสุดท้ายที่ทำให้ผิวแห้งขาดน้ำในช่วงฤดูหนาว คือ การขัดผิว ซึ่งอาจทำให้ความชื้นหมดไปและทำให้ระคายเคืองผิว หากคุณสังเกตเห็นการผลัดเซลล์ผิว ที่ทำให้เกิดรอยแดงให้เปลี่ยนสูตรสครับที่อ่อนโยนกว่าเดิม หลีกเลี่ยงกรดที่เข้มข้น เช่นกรดไกลโคลิกและสารขัดผิวที่หยาบ เช่นน้ำตาลและเกลือ และควรขัดผิวไม่เกินสัปดาห์ละครั้ง หากคุณเกิดอาการคันควรหลีกเลี่ยงการเกาผิวหนัง เพราะทำให้สูญเสียความชุ่มชื้นมากขึ้น ให้ทาครีมหรือบาล์มที่ให้ความชุ่มชื้นในบริเวณนั้นแทน

Categories
health

ผลไม้น้ำตาลต่ำดีต่อสุขภาพ 10 ชนิดที่สาย healthyไม่ควรพลาด

ในปัจจุบันหลายคนหันมาดูแลสุขภาพกันมากขึ้น และผลไม้ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกดีสำหรับคนที่กำลังควบคุมน้ำหนักหรือกำลังลดน้ำหนัก ซึ่งผลไม้มีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ให้วิตามินแร่ธาตุและสารต้านอนุมูลอิสระ นอกจากนี้ยังให้ไฟเบอร์เติมเต็มความชุ่มชื่นแก่คุณ แต่น่าเสียดายที่คนบางส่วนกินผลไม้ไม่ได้มากเท่าที่ควร ผู้ใหญ่เพียง 1 ใน 10 คนเท่านั้น ที่ได้รับผลไม้และผักในปริมาณที่เพียงพอ ส่วนที่เหลือต่างการขาดอาหารที่สำคัญ ซึ่งอาจนำไปสู่ความเจ็บป่วยเรื้อรังได้ เช่นโรคเบาหวานและโรคหัวใจ

อย่างไรก็ตามหากคุณต้องการลดการทานคาร์โบไฮเดรตด้วยวิธีง่ายๆที่ดีต่อสุขภาพและไม่ต้องการหักโหมมาก เราขอแนะนำให้เลือกรับประทานผลไม้น้ำตาลต่ำ และนี่คือผลไม้ 10 ชนิดที่ช่วยให้คุณรู้สึกดี มีประโยชน์ต่อสุขภาพ แถมเหมาะสำหรับคนที่กำลังควบคุมน้ำหนักหรือกำลังลดน้ำหนักอีกด้วยค่ะ

ผลไม้น้ำตาลต่ำ 10 ชนิด หาทานได้ง่าย ๆ มีประโยชน์

1. สตรอเบอร์รี่ เป็นผลไม้น้ำตาลต่ำ โดยสตรอเบอร์รี่ 85 กรัมมีน้ำตาลอยู่เพียง 4.1 กรัม และให้พลังงาน 27 แคลอรี่เท่านั้น แถมยังอุดมไปด้วยวิตามินซีที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย

2. เกรปฟรุ๊ต เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการเลือกบริโภคผลไม้น้ำตาลต่ำ แต่คุณสามารถไม่กินทั้งหมดก็ได้ขึ้นอยู่กับความต้องการของคุณ โดยครึ่งหนึ่งของผลเกรปฟรุ๊ตมีน้ำตาลเพียง 8 กรัม

เกรปฟรุ๊ต

3. อะโวคาโด ใช่อะโวคาโดเป็นผลไม้ที่มีน้ำตาลน้อยที่สุดอย่างแท้จริง หลุมขนาดใหญ่ตรงกลางนับเป็นเมล็ดพืชซึ่งเป็นหนึ่งในต้นกำเนิดของผลไม้ อะโวคาโดเต็มไปด้วยไขมันที่ดีต่อสุขภาพ ซึ่งช่วยปกป้องหัวใจและลดคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี รวมทั้งมีสารที่ช่วยลดความเครียดจากการออกซิเดชั่นและการอักเสบ เหมาะสำหรับคนที่กำลังลดน้ำหนัก โดยอะโวคาโดหนึ่งลูกมีน้ำตาลมากกว่า1กรัมเล็กน้อย

4.ลูกพลัม เป็นอีกหนึ่งผลไม้ที่หลายคนชื่อชอบในช่วงปลายฤดูร้อน โดยมีน้ำตาลเพียง 7 กรัมและแคลอรี่ 30 แคลอรี่ ต่อผล สิ่งที่ยอดเยี่ยมเกี่ยวกับลูกพลัมคือคุณสามารถใช้ความคิดสร้างสรรค์นำมันไปทำต่างๆ เช่นแยมที่ไม่มีน้ำตาลและแยมมาร์มาเลด

5. ราสเบอรี่ ผลเบอร์รี่เหล่านี้มีน้ำตาลต่ำอย่างน่าประหลาดใจเนื่องจากมีรสหวาน แต่ราสเบอรี่1 ถ้วยมีน้ำตาลเพียง 5 กรัม และอุดมไปด้วยไฟเบอร์ 8 กรัมจึงมีแนวโน้มที่จะทำให้คุณรู้สึกอิ่มมากกว่าผลไม้อื่น ๆ

6. แบล็คเบอร์รี่ นี่เป็นอีกหนึ่งผลไม้เล็ก ๆ ที่อร่อยแบล็คเบอร์รี่ 1 ถ้วยมีน้ำตาล 7 กรัม ไฟเบอร์ 8 กรัมและโปรตีน 2 กรัม ทำให้เป็นของว่างที่มีสารอาหารหนาแน่นที่สมบูรณ์แบบ

แบล็คเบอร์รี่

7. แอปเปิ้ล หากคุณเป็นโรคเบาหวานหรือกังวลว่าผลไม้จะส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดของคุณ เราแนะนำแอปเปิ้ล โดยแอปเปิลมีน้ำตาลในรูปของน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวค่อนข้างสูงทำให้ร่างกายดูดซึมและนำไปใช้ประโยชน์ได้รวดเร็ว และยังมีไฟเบอร์ที่ละลายในน้ำได้ดี ในแอปเปิล 100 กรัม มีน้ำตาลอยู่ 10 กรัม และให้พลังงาน 52 แคลอรี่เท่านั้น

8. กีวี่ ผลไม้สีเขียวที่มีเปลือกประหลาดนี้ ที่จริงแล้วจัดเป็นเบอร์รี่ประเภทหนึ่ง โดยกีวี่อุดมไปด้วยวิตามินซี และมีน้ำตาลต่ำแค่ 6 กรัมเท่านั้นต่อกีวี่ 1ผล

9. ลูกส้ม เป็นเช่นเดียวกับแอปเปิ้ล คุณควรรับประทานผลไม้ทั้งผลมากกว่าการดื่มน้ำผลไม้ โดยมาตรฐานส้มมีน้ำตาล 12 กรัมและวิตามินซีมากกว่าปริมาณที่แนะนำต่อวัน และมีเส้นใยซึ่งสามารถช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของคุณได้

10. สับปะรด สับปะรดเป็นผลไม้รสเปรี้ยวอมหวานที่ให้ความรู้สึกสดชื่น และสามารถหาทานได้ตลอดทั้งปี อีกทั้งยังเป็นผลไม้ที่รับประทานง่าย โดยสับปะรด 100 กรัม มีน้ำตาลเพียง 10 กรัม

Categories
health trend

แนะนำ 4 สูตรทรีทเมนต์บำรุงผิวง่ายๆ เพื่อผิวเปล่งประกายสุขภาพดี

คุณกำลังมองหาวิธีการดูแลผิวด้วยส่วนผสมที่คุณมีอยู่ที่บ้านใช่ไหมคะ? ทรีทเมนต์บำรุงผิวก็เป็นอีกหนึ่งวิธีง่ายๆที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน ซึ่งทรีทเมนต์นั้น คือ ขั้นตอนการปรนนิบัติผิว เพื่อการขจัดปัญหาแต่ละสภาพผิว ดังนั้นวันนี้เราจึงได้รวบรวมสูตรทรีทเมนต์บำรุงผิวง่ายๆ มาฝากทุกคน โดยสูตรที่เรานำมาจะช่วยสร้างความรู้สึกผ่อนคลายผิวคล้ายกับการทำสปา แต่อยู่ในความสะดวกสบายเหมือนอยู่บ้านของคุณเอง

ข้อดีของการทำทรีทเมนต์บำรุงผิว

การทำทรีทเมนต์บำรุงผิวมีประโยชน์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการผลัดเซลล์หรือขจัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพโดยไม่ทำลายผิว การกดบีบสิวอย่างถูกหลักสุขอนามัย การนวดหน้าเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต การมาส์คหน้าเพื่อให้สารอาหารตามความต้องการของผิว การบำรุงด้วยผลิตภัณฑ์ที่ช่วยปรับสภาพผิว เพื่อคืนความแข็งแรง ลดเลือนริ้วรอย ลดการอุดตัน หน้าใส

4 สูตรทรีทเมนต์บำรุงผิวง่ายๆ ทำได้เองที่บ้าน

1. สูตรมาส์กโกโก้ เป็นสูตรทรีทเมนต์บำรุงผิวที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ ทำเองได้ง่ายๆที่บ้าน ช่วยเติมเต็มความชุ่มชื้นและทำให้ผิวได้รับการฟื้นฟูและดูอ่อนเยาว์ โดยการผสมผงโกโก้ 1 ช้อนโต๊ะ ครีมเปรี้ยว 1 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะและไข่ขาว 1 ฟอง แล้วคนให้เข้ากัน แล้วนำมาทาลงบนใบหน้าและปล่อยให้แห้งก่อนล้างออก ซึ่งครีมเปรี้ยวเป็นมีกรดแลคติกที่ให้ความชุ่มชื้นและผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน น้ำผึ้งเป็นสารให้ความชุ่มชื้นที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นในขณะที่โปรตีนในไข่ขาวจะทำให้ผิวเต่งตึง

สูตรมาส์กโกโก้

2. สูตรแช่น้ำนมบำรุงมือ เพื่อทำให้มือที่ทำงานหนักนุ่มขึ้น โดยมีขั้นตอนการทำคืออุ่นนม 2 ถึง 3 ถ้วย (พอที่จะจุ่มทั้งสองมือ) ในไมโครเวฟจนอุ่น เทลงในชามแล้วแช่มือทิ้งไว้ 5-10 นาทีเพื่อให้ไขมันจากนมได้รับความชุ่มชื้นและวิตามิน A และ E ช่วยบำรุงผิวแห้งได้

3. สูตรข้าวโอ๊ตบดขัดผิว เป็นสูตรที่ช่วยขจัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ โดยมีขั้นตอนการทำคือนำข้าวโอ๊ตบด 3 ช้อนชาและแอปเปิ้ลไซเดอร์1/4 ช้อนชาผสมให้เป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นเติมน้ำมะนาว 1/4 ช้อนโต๊ะและน้ำตาลทรายแดง 1/2 ช้อนโต๊ะ แล้วคนให้เข้ากัน ทาลงบนผิวกายและผิวหน้าที่ทำความสะอาดแล้วทิ้งไว้ 5-10 นาทีเพื่อให้ส่วนผสมซึมเข้าสู่ชั้นบนสุดของผิว จากนั้นถูเป็นวงกลมเพื่อขัดผิวและเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ล้างออกด้วยน้ำอุ่นและซับให้แห้งด้วยผ้าขนหนู

สูตรข้าวโอ๊ตบดขัดผิว

4. สูตรมาส์กผลไม้ดีท็อกซ์ผิวหน้า ช่วยป้องกันสารอนุมูลอิสระและซ่อมแซมความเสียหายของผิว ช่วยให้ผิวกระจ่างใส ด้วยส่วนผสมจากธรรมชาติ โดยการผสมบลูเบอร์รี่สุกบด 1 ช้อนโต๊ะ น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ น้ำแตงกวา 1 ช้อนโต๊ะ เบกกิ้งโซดา 2 ช้อนโต๊ะและน้ำ 2 ช้อนโต๊ะ แล้วคนให้เข้ากัน แล้วเกลี่ยลงบนใบหน้า ทิ้งไว้ 15 – 20 นาที แล้วค่อยๆล้างออกด้วยน้ำอุ่น